ผ่านพ้นเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ สิ่งที่ประชาชนถามถึงกันมากที่สุดตอนนี้คือเรื่องการใช้รถกระบะ ที่ทางการผ่อนผันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาว่าให้สามารถนั่งในแค็บและท้ายกระบะรถได้ไม่เกิน6คน และแจ้งไว้ว่าหลังสงกรานต์จะมาคุยอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไร
ล่าสุด พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร เปิดเผยกับ สำนักข่าวชื่อดัง (คมชัดลึก) ถึงเรื่องดังกล่าวว่าเมื่อวันที่7เมษายน ที่ผ่านมา ตนในฐานะผู้ช่วย ผบ.ตร.ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้กรมการขนส่งออกหลักเกณฑ์มารองรับการใช้รถกระบะบรรทุกผู้โดยสาร ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522เพิ่มเติม
ทั้งนี้ พล.ต.ท.วิทยา กล่าวว่า เรื่องการใช้รถยนต์ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522ในมาตรา21ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมปี2528ใจความโดยสรุปคือ “ให้สามารถใช้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลที่มีน้ำหนักรถไม่เกิน1,600กิโลกรัม เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้” ส่งผลให้สามารถใช้รถกระบะบรรทุกคนได้
“ต่อมาปี2557มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายนี้อีกครั้ง และเพิ่มนำหนักรถเป็น2,200กิโลกรัม และเขียนเงื่อนไขต่อท้ายว่า ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด อย่างไรก็ตามจนถึงบัดนี้ทางกรมขนส่งยังไม่ได้ออกหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในเรื่องนี้ออกมา”
ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า ตามกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเคยมีการอนุญาตให้ใช้รถกระบะในการบรรทุกคนได้ เพียงแต่หลังจากมีการแก้กฎหมายในปี2557และกำหนดเงื่อนไขไว้ ทำให้ถ้ายึดตามกฎหมายจริงๆจะไม่สามารถใช้รถกระบะบรรทุกคนได้ แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าทางกรมขนส่งยังไม่เคยออกกฎเกณฑ์ในเรื่องนี้ออกมา ดังนั้นทางตำรวจจึงเสนอว่ากรมการขนส่งควรจะออกระเบียบเรื่องนี้ออกมา และเขียนเพื่ออะลุ่มอล่วยให้ประชาชนสามารถใช้รถกระบะบรรทุกคนได้โดยให้มีความปลอดภัยระดับหนึ่ง รวมถึงให้สามารถนั่งในแค็บได้ด้วย เพราะกฎหมายเดิมก็เคยให้ทำได้
ทั้งนี้ในหนังสือที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำถึงอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ตามที่ สตช.นำแนวทางปฏิบัติเรื่องบังคับให้ใช้เข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ได้รับคำร้องเรียนจากผู้ใช้รถกระบะจำนวนมากว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ด้วยความจำเป็นและข้อขัดข้องหลายประการ
“สตช.พิจารณาแล้ว เห็นว่า กรมการขนส่งทางบกควรพิจารณาออกหลักเกณฑ์และวิธีการที่มีความปลอดภัยระดับหนึ่งให้กับประชาชนที่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์กระบะบรรทุกเป็นรถยนต์โดยสารบ้างในบางโอกาส โดยมิต้องไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงลักษณะรถเป็นรถยนต์บรรทุกคนโดยสารส่วนบุคคลเกิน7ที่นั่ง” หนังสือของ สตช.ระบุ
ทั้งนี้ สตช.ได้เสนอแนวทาง3ข้อ คือ 1.ที่นั่งแค็บรุ่นที่กว้างเพียงพอให้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย2หรือ3จุด แล้วนั่งโดยสารได้2.สำหรับท้ายกระบะ หากจำเป็นต้องบรรทุกคน ให้บรรทุกได้ไม่เกิน6คน และติดตั้งราวจับยึด หรือเข็มขัดนิรภัยเท่าที่ทำได้3.รถกระบะที่บรรทุกคนให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน80กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผู้ช่วย ผบ.ตร.ย้ำว่า หากทางกรมขนส่งยังไม่ออกกฎเกณฑ์เงื่อนไขดังกล่าวออกมา ทางตำรวจก็จะยังไม่จับปรับประชาชนที่ใช้รถผิดประเภท จะยังผ่อนผันไปก่อน และหากทางกรมขนส่งออกกฎเกณฑ์มา ก็คาดว่าจะนำมาบังคับใช้อย่างจริงจังในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งจะมีการเดินทางกันมากอีกครั้ง “คาดว่าระยะเวลาอีกประมาณครึ่งปี น่าจะเพียงพอในการประชาสัมพันธ์และให้ประชาชนเตรียมตัว” พล.ต.ท.วิทยา กล่าว ทั้งนี้ พล.ต.ท.วิทยา กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (18 เม.ย.) จะมีการหารือเรื่องนี้กับทางกรมขนส่งอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า เรื่องมาตรการในการให้ประชาชนรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งนั้น เจตนาของรัฐคือเพื่อให้เกิดความปลอดภัย เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็ต้องเป็นเรื่องจิตสำนึกของประชาชนที่จะปฏิบัติ เพราะรัฐคงไม่สามารถไปเฝ้าตรวจรถทุกคันได้ แต่หากประชาชนปฏิบัติตามก็จะส่งผลให้บรรเทาความรุนแรงจากอุบัติเหตุได้
เรียบเรียงโดย