เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า
ช่วงแรกของการพบผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในประเทศไทย เป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายยกเลิกเที่ยวบินจากต่างประเทศ ทำให้รูปแบบการติดเชื้อเปลี่ยนไปเป็นการติดภายในประเทศ
รูปแบบการติดเชื้อที่เปลี่ยนไปมาจากพฤติกรรมที่คนอยู่ใกล้ชิดกัน การไปในสถานที่แออัด เช่น ตลาด สถานบันเทิง หรือป่วยแล้วไม่หยุดงาน จึงมีการแพร่เชื้อเป็นวงกว้าง รวมทั้งผู้ที่ทำงานหรือออกไปนอกบ้านนำเชื้อเข้าบ้าน ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อภายในครอบครัว หากเป็นกรณีคู่สามี-ภรรยา โอกาสติดสูงถึงร้อยละ 43 และยังทำให้ลูก หรือพ่อ/แม่ ที่สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัวมีโอกาสติดเชื้อด้วยร้อยละ 14.8-16.4 นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุระหว่าง 0-14 ปีพบว่า เกิดจากการสัมผัส พ่อ-แม่ ถึงร้อยละ 45 รองลงมาเป็นการสัมผัสจากบุคคลที่อาศัยร่วมบ้านร้อยละ 24 และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปป่วยจากการสัมผัสคนร่วมบ้านร้อยละ 34
ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดระหว่างคนในครอบครัวเมื่อมีอาการไข้หรืออาการทางเดินหายใจ เว้นระยะห่าง ใช้หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในบ้าน หากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ให้แยกสิ่งของเครื่องใช้ สำรับอาหารเพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อ
นพ.โสภณกล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาผ่อนปรนมาตรการ จะส่งผลให้มีการเดินทาง พบปะกันมากขึ้น ภาคธุรกิจหลายแห่งจะเริ่มเปิดกิจการอีกครั้ง อาจมีโอกาสทำให้จำนวนผู้ป่วยกลับมาเพิ่มมากขึ้นได้อีก ขอให้ผู้ประกอบการจัดเตรียมมาตรการสำหรับองค์กรเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ เช่น การทำงานจากบ้าน การเหลื่อมเวลาการทำงาน หรือการเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดโดยไม่ได้ป้องกัน รวมถึงให้ประชาชนตระหนักถึงมาตรการส่วนบุคคล การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างระหว่างกัน นับเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป